เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ธ.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม วันนี้วันพระ วันนี้วันพระนะ พระเป็นผู้ประเสริฐ แล้วเป็นผู้ประเสริฐหรือไม่เป็นผู้ประเสริฐ ถ้าเป็นผู้ประเสริฐ ถ้าเป็นผู้ประเสริฐนี่พระในบ้าน พระนอกบ้าน พระในบ้านคือพ่อแม่ของเรา พระอรหันต์ของเราทำบุญกุศล เลี้ยงดูกตัญญูกตเวที นี่เราทำเพื่อเรา ทำเพื่อเราเพราะอะไร เพราะทำเป็นแบบอย่าง แบบอย่างเพราะเรามีลูกมีหลาน ทุกคนก็ดูเป็นแบบอย่าง ทีนี้การดูเป็นแบบอย่างมันเป็นศีลธรรมวัฒนธรรม สิ่งนี้เป็นพระในบ้านไง

แต่พระในใจ พระในใจนะ เราทำคุณงามความดีขนาดไหน พ่อแม่ก็น้อยเนื้อต่ำใจ พ่อแม่ก็ไม่ได้ดั่งใจสักที พ่อแม่ก็อยากได้ดั่งใจของพ่อแม่ พ่อแม่ก็คิดไปอย่างหนึ่ง ลูกก็คิดไปอย่างหนึ่ง เพราะมันเป็นไปตามวัย ถ้ามันเป็นไปตามวัย พระเรา พระในบ้าน พระในบ้านคือพ่อแม่ของเรา

พระในใจ พุทธะ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเป็นไปโดยวัย วัยมันไม่ถึงมันก็คิดไปร้อยแปด แต่มันเป็นไปโดยวัย วัยถึงสภาพแบบนั้นมันก็เข้าใจได้ แต่กว่าจะเข้าใจได้ เห็นไหม สิ่งนี้ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราต้องทำบุญกุศลของเรา

การทำบุญกุศลคือผู้ฉลาด ผู้ฉลาดคือดูแลหัวใจของเรา ผู้ที่ฉลาด ผู้ที่ฉลาดเขาต้องประหยัดมัธยัสถ์ เขาเก็บทรัพย์สมบัติของเขาไว้เพื่อเป็นของเขา ผู้ที่โง่ ผู้ที่สะเพร่า ได้สิ่งใดไม่เคยเก็บรักษาของเขา เขาทิ้งของเขาเกลื่อนกลาดของเขา จะไม่เป็นประโยชน์กับเขา มันเป็นอันตรายด้วย เพราะคนอื่นเขามาหยิบฉวยของเขาเพื่อประโยชน์กับเขา

นี่ก็เหมือนกัน คุณงามความดีของเรา คุณงามความดีของเราไง เป็นผู้ที่ฉลาด ถ้าผู้ที่ฉลาดของเรา เรารักษาของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา นี่เป็นผู้ที่ฉลาด แต่โลกไม่คิดอย่างนั้น โลกคิดว่า “ทำไมต้องมาประหยัดมัธยัสถ์ ในเมื่อเรามีของเรา เราก็ใช้ประโยชน์ของเรา” การใช้ประโยชน์ของเรา คนที่ประหยัดมัธยัสถ์มันมีสติมีปัญญาของเขา เขารักษาสมบัติของเขาได้ รักษาสมบัติของเขาได้ เขารักษาหัวใจของเขาได้

เวลาบอกว่ามีสติๆ สติก็บอกว่ามีสติ ทุกคนก็ว่ามีสติ แต่มันพลั้งเผลอไปทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเรามีสติของเรา เรายับยั้งความรู้สึกนึกคิดของเรา ยับยั้งความรู้สึกนึกคิดของเรา แต่ถ้ามันคิดดีๆ คิดดีมันต้องมีคันเร่ง

รถเวลาเขาเหยียบคันเร่ง คันเร่งที่มันเหยียบแล้วรถมันจะวิ่งเร็วไง แต่เขาไม่คิดว่ารถที่สำคัญคือเบรกของมัน ถ้าเบรกของมัน มันจะเบรกของมัน ชีวิตของเขา เขาจะไม่ประสบอุบัติเหตุของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาที่มันคิดร้าย คิดเบียดเบียนตัวเอง เราต้องเบรกมันไว้ๆ การว่าเบรกๆ เบรกด้วยสติด้วยปัญญาของเรา แต่ถ้ามันทำคุณงามความดี มันคิดดีของมัน ต้องเหยียบคันเร่งๆ คนเราเวลาคิดดี เราต้องส่งเสริมทันที ส่งเสริมความรู้สึกนึกคิดของเราให้มันงอกงามขึ้นมา มันต้องเหยียบคันเร่งไง มันมีทั้งเหยียบเบรกและทั้งเหยียบคันเร่ง

เวลาเหยียบเบรกขึ้นมา เราคัดเลือกแล้วเราคัดแยกว่าเป็นสิ่งนี้เป็นที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่ดี แต่สิ่งที่ไม่ดีทำไมมันคิดล่ะ สิ่งที่ไม่ดีทำไมมันเกิดจากหัวใจของเราล่ะ นี่มันเกิดขึ้นมา พอมันเกิดขึ้นมาจากอวิชชา จากความไม่รู้ของมัน

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราฝึกหัดของเราบ่อยครั้งเข้าๆ นี่ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ มันคิดพิจารณาของมัน มันจับความรู้สึกนึกคิดของเรา เราพิจารณาแล้ว สิ่งนี้ไม่ดีเลย สิ่งนี้คิดซ้ำคิดซาก สิ่งนี้ทำให้เรามีแต่ความทุกข์ความยาก แล้วเราพยายามยั้งคิดๆ เพราะอะไร เพราะมันมีปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิก็ความคิดนี่แหละ แต่ความคิดแล้วเราจับมาแยกแยะ มาคิดมาแยกแยะว่ามันควรหรือไม่ควร มันควรคิดหรือไม่ควรคิด แล้วไม่ควรคิดมันมาได้อย่างไร? มันมาโดยจริตนิสัย

คนคิดดีๆ คนฝึกหัดความคิดดีๆ มันจะคิดแต่เรื่องดีๆ ไง แต่ถ้าคนเคยคิดอวิชชา เคยคิดพญามาร อยู่ในใต้ของพญามาร มันคิดแต่เบียดเบียนตนเอง มันคิดเบียดเบียนตนเองแล้วก็จะเบียดเบียนผู้อื่นไง มันคิดซ้ำคิดซาก คิดจนเป็นจริต คิดจนเป็นนิสัย แต่ถ้าเราแยกแยะของเรา เราฝึกหัดของเรา มันต้องฝึกหัดของเรา นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันเกิดมาจากใจทั้งนั้นน่ะ มันเกิดจากภายใน เกิดจากการประพฤติปฏิบัติ เกิดจากการฝึกหัดของเรา

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติ กิเลสมันก็อ้างอิง มันแอบอ้าง แอบอ้างว่า “นี่เป็นความว่าง มีความเข้าใจหมด” มันเข้าใจธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไฟสุมขอนในใจ ไอ้สิ่งที่ฝังใจมันสุมขอน มันเผาลนอยู่นั่นน่ะ นั่นของใครล่ะ

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติไง แต่ถ้าเป็นของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เราเท่าทันความคิดของเรา ถ้าเราเท่าทันความคิดของเรา เราจะซาบซึ้งมาก ซาบซึ้ง นี่สติ สติมันยับยั้งหมด ยับยั้งความคิดได้ เท่าทันความคิดได้ เวลามันเกิดสมาธิขึ้นมา มันมีความสุขความร่มเย็นของมันขึ้นมา เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาจากการฝึกหัด ปัญญาไม่ใช่เกิดจากการจำมา ปัญญาไม่ใช่สืบทอดมาจากครูบาอาจารย์

เวลาครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศนาว่าการนะ ถ้าตรงไหนสำคัญ ท่านข้ามไปๆ ท่านบอก ต้องข้ามไป เดี๋ยวกิเลสมันจำ พอกิเลสมันจำแล้วกิเลสมันสร้างภาพ สร้างภาพเป็นการปฏิบัติยากของคนคนนั้น นี่ครูบาอาจารย์ท่านพูดขนาดนี้ ท่านจะยื่นมีดให้ ท่านยังรู้เลยว่ายื่นมีดให้ไปแล้วมันไปทำร้ายตัวมันเอง ยื่นมีดให้มันแล้วมันใช้ประโยชน์ไม่เป็น นี่เวลายื่นมีด ไม่ให้เก็บไว้ก่อน บอกว่า วิธีทำมีดขึ้นมาต้องตีเหล็ก ตีเหล็กขึ้นมาพอเป็นมีดแล้วต้องลับ ลับให้มันคมถึงใช้ประโยชน์ได้

นี่ก็เหมือนกัน ฝึกหัดปัญญาขึ้นมา ฝึกหัดถ้ามันเป็นของของเรา ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา อันนั้นน่ะสำคัญมาก เหมือนกับเรา เราทำอาหารได้ เราทำสิ่งใดได้ เราไปอยู่ที่ไหน เราก็ทำอาหารได้นะ เราไปเที่ยวป่าเที่ยวเขานะ เราไปกับพวกพราน เขามีมีดเล่มเดียว จะหุงข้าว เขาตัดไม้ไผ่ข้าวหลามเอา เขาจะต้มน้ำเขาก็ตัดไม้ไผ่หลามเอา เขาทำได้หมด เขามีมีดเล่มเดียวเขาหาอยู่หากิน เขาอุปัฏฐากพระได้ พระไปอยู่ในป่าไปเห็นมา เห็นมากับตา โอ๋ย! ไอ้พวกนายพรานเขาชำนาญ เขาอยู่ในป่าของเขา เขาหาอยู่หากินในป่าได้สบายมากเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา รักษาหัวใจของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เราดูแลหัวใจของเราได้หมดเลย แต่นี้เราไม่ได้ไง เข้าเซเว่น อะไรก็ซื้อเอาเซเว่นเต็มไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะพระพุทธเจ้าไง ธรรมะเป็นธรรมชาติไง...ของเอ็งหรือ เอ็งรู้อะไร แล้วทำแล้วได้ประโยชน์อะไร แต่ก็ชอบนะ เพราะอะไร เพราะสังคมมันเจริญใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ สิ่งนี้มันเพื่อสังคม เพื่อโลก โลกก็เจริญจริงๆ ธรรมะเจริญงอกงามมาก ก็เซเว่นไง นิพพานสำเร็จรูป ซื้อนิพพานถุงหนึ่ง ซื้อนิพพานถุงหนึ่ง แถมอีกถุงหนึ่ง นิพพานได้แถมด้วย นี่มันศึกษา ศึกษามาเป็นอย่างนั้น

แต่ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงมันจะเป็นของเราขึ้นมา นี่พุทธะ ถ้ามันจะทุกข์มันจะยาก ให้มีความภูมิใจนะ เราจะภูมิใจมากเวลาเราประพฤติปฏิบัติ เวลามันจะทุกข์มันจะยาก บอก ก็เราทำมา นี่เราทำมา เวลาภาวนานะ เหงื่อไหลไคลย้อย มันมีความทุกข์ความยาก มันน้อยเนื้อต่ำใจนะ ทำไมคนนู้นทำก็ได้ คนนี้ทำก็ได้

เวลานั่งคุยธรรมะกัน ใครๆ เขาก็ แหม! เป็นสมาธิมีปัญญา...ขี้โม้ทั้งนั้นน่ะ มันขี้โม้เพราะอะไรล่ะ เพราะเราทำของเราขนาดนี้เรายังทำไม่ได้เลย แล้วเวลากิเลสมันเหยียบย่ำ เราจะคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราคิดถึงหลวงปู่มั่นเป็นองค์ที่ ๒ เพราะอ่านประวัติหลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติขนาดไหน ท่านมีโรคประจำตัวของท่าน ท่านมีโรคเสียดท้องของท่าน ครูบาอาจารย์เราท่านมีโรคประจำตัว

โรคประจำตัว ดูสิ ไปอยู่ที่ถ้ำสาริกา มันไปกำเริบ กำเริบนะ เวลากินยาหม้อ ต้มยาหม้อ เก็บสมุนไพรแล้วต้ม กินแล้วมันก็บรรเทา แต่ตอนนั้นมันยิ่งกินยิ่งไม่บรรเทา ท่านเลยตัดสินใจเลย โยนทิ้ง โยนหม้อยาทิ้ง โยนทุกอย่างทิ้ง อ้าว! คราวนี้เป็นไงเป็นกัน เอาธรรมโอสถ แล้วท่านไปแก้ไข เห็นไหม โรคเสียดท้องนั้นหายด้วย พิจารณาธาตุขันธ์ไปแล้วมันแยกหมดเลย โลกนี้ราบหมดเลย กิเลสขาด แล้วท่านยังไปเห็นรุกขเทวดาเข้ามากราบไหว้ท่าน

เวลาทำจริงทำจัง เวลาศึกษาธรรมะของครูบาอาจารย์แล้วมันเป็นคติสอนใจเรา แล้วเราประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านต้องพยายามขวนขวาย ท่านต้องขวนขวายของท่านเอง แล้วท่านสมบุกสมบัน พิสูจน์ตรวจสอบเอง ทั้งๆ ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีอยู่ แต่ในปัจจุบันนี้เรามีครูมีอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นสั่งสอนมาจนเป็นหลวงตา เป็นครูบาอาจารย์ของเรา มีปัญหาไปถามสิ แต่เวลาไปถาม ไปไหนมา สามวาสองศอก ไปจำมาแล้วก็ไปถาม มันไม่เป็นความจริงเลย

คนไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอมันได้ประโยชน์อะไร ไปถึงบอกเป็นวิตกกังวลไง เห็นคนป่วยเยอะๆ “หนูจะป่วยเมื่อไหร่ หนูจะป่วยเมื่อไหร่”...ก็เอ็งไม่ป่วย เวลาถามปัญหานะ เพราะมันไม่เป็นความจริงไง เขาไม่ได้ไปปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นความจริง คือเขาไม่ได้ป่วย แต่เขากลัวว่าเขาป่วย พอกลัวป่วย เขาก็ไปถามปัญหาๆ ถามปัญหาก็ซ้ำซากอยู่อย่างนั้น มันไม่เป็นความจริง

แต่คนป่วย คนป่วยขึ้นมามันจนตรอกนะ พอจนตรอกขึ้นมา ใครบอกวิธีการรักษาอย่างไรเขาก็พยายามจะขวนขวายของเขา เพราะเขาต้องการให้เขาหายจากการป่วยไข้นั้น จิตใจของเราเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะได้มันจะเสียขึ้นมา มันจะลงสมาธิไม่ลงสมาธิ เวลาปัญญามันหมุนขึ้นมา ปัญญามันแยกมันแยะขึ้นมา แล้วปัญญาเป็นสัญญา ปัญญามันก็หลอกใช่ไหม ปัญญาโดยกิเลส กิเลสมันก็ว่า “ธรรมะเป็นอย่างนี้ ปล่อยวางหมดแล้วล่ะ” มันปล่อยวางแต่ผิวเผินไง ต้นไม้ตัดแต่ใบมัน ไม่ต้องตัดหรอก เวลาฤดูกาลเปลี่ยนแปลง ใบมันร่วงหมด ไม่ต้องตัดมันก็ร่วงอยู่แล้ว ใบไม้น่ะ

เขาต้องขุดรากถอนโคนมัน ตัดแล้วมันก็งอก ตัดแล้วมันก็ยังมีอยู่ ความคิดมันมีอยู่ตลอด นี่รู้เท่าทันไปหมดล่ะ แต่ความคิดมันก็ยังเกิดมาตลอด แล้วความคิดมันมาจากไหนล่ะ นี่เพราะมันไม่รู้จริงไง

ถ้ามันรู้จริงขึ้นมา เห็นไหม เราป่วย เราป่วยเราก็ต้องรักษาของเรา ธรรมโอสถ เราพยายามตั้งสติของเรา ขวนขวายของเรา มันจะทุกข์มันจะยากขนาดไหน อ้าว! ต้องภูมิใจ ก็เราทำมาแค่นี้ เราทำมาแค่นี้ แต่เรามีสติปัญญานะ ทำมาแค่นี้ แต่เราอยู่ในทางจงกรม เราอยู่ในการนั่งสมาธิภาวนา

โลกเขาเวลาเขาคุยกัน เขาขอโอกาสนะ ใครทำสิ่งใดบอกขอโอกาสได้ทำบ้างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่นี่โอกาสของเราชัดๆ เลย เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเป็นปัจจุบันของเราเลย นี่โอกาสมันมาถึงเราแล้ว แล้วเราจะทำไหม ถ้าเราทำนะ เราต้องมีความมั่นใจ มั่นใจในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างน้อยต้องเป็นพระอนาคามี

๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี เราเกิดมากี่ร้อยกี่พันชาติ เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย การเกิดการตาย เวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้มันทุกข์ยากไหม แล้ว ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ทำไมมันไม่ขวนขวาย ถ้ามันขวนขวายขึ้นมานะ เราจะไม่ต้องเข้าไปนอนในครรภ์นั้นอีก เราไม่ต้องผ่านช่องแคบนั้นมาอีก เราไม่ต้องไปเกิดเป็นโอปปาติกะ เราไม่ต้องไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เราไม่ต้องเกิดเป็นอะไรทั้งสิ้นถ้าเราทำของเรา นี่ถ้ามันคิดอย่างนี้ มันทำอย่างนี้ มันขวนขวาย ถ้ามันไม่คิดอย่างนี้ ทำทำไม ทำแล้ว ดูสิ พอหันไปนะ เห็นแต่คนเขาไปสนุกเพลิดเพลินกัน ไอ้เราต้องมาทุกข์มายาก

กรณีนี้เป็นหมด หลวงปู่เจี๊ยะก็เป็นที่หนองผือ ท่านบอกท่านสรงน้ำอยู่ที่ลำธาร เขาไปเล่นกัน อู๋ย! มันคิดหมดเลย มันอยากไป หลวงตาท่านก็เป็นอย่างนั้นแหละ ท่านบอกในคราวสงกรานต์เขาไปรำกลอนกัน ท่านเดินจงกรมอยู่ แล้วปัญญามันเกิด “เราไม่เคยเป็นหรือ เราก็เคยเที่ยวมาอย่างนี้เหมือนกัน เราก็เคยเที่ยวมากับเขา”

ดูสิ พระนาคิตะๆ เวลาเดินจงกรมอยู่ นักขัตฤกษ์อย่างนี้เขาไปเที่ยวกัน เขาขับร้องเพลงกัน ตัวเองก็น้อยใจ เทวดามายับยั้งกลางอากาศเลย “พวกนั้นพวกที่เขาหลงในวัฏฏะ พวกนั้นเขายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ท่านต่างหากประเสริฐ ท่านต่างหากประเสริฐ” ตอนนั้นพระนาคิตะยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ “ท่านต่างหากประเสริฐ” พระนาคิตะเดินจงกรมอยู่ เทวดายังมาชมเลย ไอ้พวกนั้นเขามีแต่ความรื่นเริง เขามีแต่ความสุขกัน ไอ้เราก็น้อยเนื้อต่ำใจเขามีความสุขใช่ไหม เดินจงกรมอยู่ก็ว่าเราทุกข์เรายาก ขนาดเทวดาบอก “ท่านประเสริฐ” มันได้คิดนะ พอได้คิด ย้อนกลับ เหมือนพระอานนท์ พระอานนท์ พระพุทธเจ้าบอกว่า “วันสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ วันสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์”

ก็คิดแต่คำว่า คำว่า “คิดว่า” ส่งออกไหม คำว่า “คิดว่า” ที่เขาเคยชมเราไว้ พระพุทธเจ้าเคยพยากรณ์ไว้ พระพุทธเจ้าเคยบอกไว้ บอกว่า “อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะทำสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์วันนั้น” มันก็คิดว่ามันจะได้เป็นพระอรหันต์ นี่ “คิดว่า” มันส่งออก

พระนาคิตะเห็นเขาไปสนุกเพลิดเพลินกันก็คิดเปรียบเทียบไง เทวดามายับยั้งกลางอากาศเลย “ท่านต่างหากประเสริฐ ท่านต่างหากเป็นผู้ประเสริฐ เพราะท่านต่างหากจะเป็นผู้ที่พ้นออกจากวัฏฏะ” คือท่านต่างหากจะต้องไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก “ท่านต่างหาก มันประเสริฐ ท่านต่างหากประเสริฐ”

ความคิดมันย้อนกลับ มันตีกลับนะ โอ้โฮ! เดินจงกรมด้วยความสดชื่น เดินด้วยความชื่นบาน เดินจงกรมมันไม่คิดไปถึงมหรสพสมโภช ไม่คิดถึงคนนอก มันย้อนกลับ ทวนกระแสกลับมาในใจ พอมันย้อนกลับมาเป็นพระอรหันต์คืนนั้น พระนาคิตะเป็นพระอรหันต์เลยล่ะ เพราะเทวดาเขามาเตือนสติ เขามาชื่นชม ได้ทั้งบุญจากเทวดาที่เป็นสะพาน เป็นการชี้บอก พระนาคิตะก็ได้บุญอันนั้น ได้การกระทบจากคำพูด จากเสียงที่เทวดาเตือนขึ้นมา แล้วพระนาคิตะก็ได้สติปัญญาย้อนกลับ ภาวนาทวนกระแสกลับ พระนาคิตะได้เป็นพระอรหันต์วันนั้น

ดูสิ บัณฑิต คนที่เขาได้บุญ ถ้าเตือนแล้วมันไม่ได้ประโยชน์เขาก็ไม่เตือน แต่นี่เตือนแล้วได้ประโยชน์นะ พอเตือนคืนนั้น พระนาคิตะสำเร็จเป็นพระอรหันต์คืนนั้น จากปัญญาที่ทวนกระแสกลับเข้ามาในใจของตน

นี่ก็เหมือนกัน ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไง เราเห็นเขาไปเที่ยวสนุกเพลิดเพลินกัน ย้อนกลับมาสิ ย้อนกลับ ไม่เคยหรือ ใครไม่เคยบ้าง มีแต่เที่ยวซ้ำสองซ้ำสาม เอาไมล์ จะสะสมไมล์ ไม่เคยหรือ เคยทั้งนั้นน่ะ แต่ของเรา ทำของเรา เราทำแล้ว เราไปแล้ว เราย้อนกลับมา ถ้าย้อนกลับมามันทำประโยชน์ที่นี่

ท่านถึงบอก “เป็น” ครูบาอาจารย์เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นน่ะ ทำไมจะไม่คิด ความคิดใครควบคุมมันได้ แล้วความคิดมันคิดทิ่มตำเราทั้งนั้นน่ะ แล้วเรามีสติปัญญายับยั้งมันไหม ถ้าเรามีสติปัญญายับยั้ง

เวลาคิดอย่างนี้ เราพูดถึงตัวเองตลอด เพราะเวลาเราจะคิด เราจะคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านลำบากกว่าเราหลายร้อยเท่า ทุกข์ยากกว่าเราเยอะมาก เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เวลามันทุกข์มันยาก คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็คิดถึงหลวงปู่มั่น เวลาคิดถึงหลวงปู่มั่น เพราะอ่านประวัติหลวงปู่มั่นมาหลายรอบ ไม่ได้ขี้ตีน ความเพียรเอ็งขี้เล็บ ไร้สาระ ขี้โม้! พอมันย้อนกลับมามันทำให้ฮึกเหิม พอมันคอตกก็ เออ! ฮึดขึ้นมาเลย เหมือนนักมวยให้น้ำเลย สดชื่นเดี๋ยวหนึ่ง เดี๋ยวก็คอตกอีกแล้ว แต่จะคิดอย่างนี้ตลอด อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จิตมีสติปัญญาแล้วครอบคลุมดูแลของเราด้วยสติปัญญา ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วตนมีที่พึ่งที่มั่นคง ตนมีทางเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา แล้วตนนั้นจะเอาตัวรอด เอาตัวรอดแล้ว แล้วคติอย่างนี้เอาไปสอนคนอื่นได้ สอนคนอื่นได้เพราะเราทำได้ไง เคยทำแล้วทำได้

เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาแล้วมันไม่เคยสงบ มันไม่ลง มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันก็สงสัย แต่ถ้าเราทำได้ เราทำได้ ยืนยันเลยว่าได้ ต้องได้! เพียงแต่ว่าเอ็งจะทำได้หรือไม่ได้นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องได้! คำว่า “ต้องได้” เราก็ฝืนของเรา มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาบารมีของเรา

ดูต้นไม้สิ ต้นไม้ที่สมบูรณ์แข็งแรง เวลาปลูกแล้วมันจะ อู้ฮู! งอกงามมากเลย ต้นไม้ที่อ่อนแอ เมล็ดพันธุ์ที่ไม่สมบูรณ์ รดน้ำพรวนดินขนาดไหนมันจะรอแต่วันตาย รดน้ำทั้งวันเลยนะ แล้วมันก็ตายต่อหน้าเลย เรานี่รดน้ำทุกวันเลย แล้วก็ต้นไม้ตายต่อหน้าตลอด เห็นไหม เมล็ดพันธุ์ จิตใจของเราเข้มแข็ง จิตใจที่สมบูรณ์ เมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ รดน้ำพรวนดินแล้วมันจะสมบูรณ์งอกงาม หัวใจของเราดูแลรักษาขึ้นมา

วันนี้วันพระ เวลาวันพระ เวลาเขาจะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาต้องไปอินเดีย เสียค่าเครื่องบินไปเครื่องบินกลับ ของเราไม่ต้อง เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าจิตมันลงสมาธิแล้วเราจะได้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวเป็นๆ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หัวใจที่แช่มชื่น หัวใจที่มีความอบอุ่น นั้นเราไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความสามารถของเรา เอวัง